วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

บทนำ

    
    คำนำ


                  บล็อกเกอร์เรื่องนี้  เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชาคอมพิวเตอร์และวิชาศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีจุดประสงค์  เพื่อให้รู้ความหมายของทัศนศิลป์ของไทยและสากล  ความแตกต่างกัน   ลักษณะต่างๆของไทยและสากล  อีกทั้งรู้ประวัติความเป็นมา  ซึ่งเราสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

                          

                   ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำงาน เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ รวมถึงเป็นเรื่องที่บางกลุ่มชนไม่รู้ ถึงประวัติความเป็นมา  และความหมายต่างๆ  ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบล็อกเกอร์เรื่องนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน 




                                                                                                                      ผู้จัดทำ
นางสาว ชลธิชา  สังข์ทอง
ทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทยและสากล

ทัศนศิลป์ของไทยและสากล
ผลงานทัศนศิลป์ล้วนมีปรากฎอยู่ในแต่ละวัฒนธรรม  ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ขึ้นมาก็ล้วนแต่ต้องการตอบสนองความต้องการของสังคมทั้งสิ้น  สำหรับสังคมไทย  ผลงานทางด้านทัศนศิลป์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง  ซึ่งจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์งานมีอยู่หลายปัจจัย  เช่นเดียวกับทัศนศิลป์สากลก็จะมีรูปแบบแตกต่างไปจากของไทย  และมีจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ที่มีบางด้านมีทั้งเหมือนและแตกต่างจากทัศนศิลป์ไทย  การเรียนรู้ทำความเข้าใจทัศนศิลป์ไทยและสากล  จะช่วยทำให้เราสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ทัศนศิลป์ระหว่างสองวัฒนธรรมได้

0110.jpg





1ก.gif2d.gif3.jpg



ที่มา : http://www.namsongkram.com/2015/01/blog-post_13.html

การแบ่งสถูปเจดีย์ตามลักษณะของสถาปัตยกรรม


   

  •  แบบลังกา

                        เป็นสถูปที่นำแบบมาจากสถูปแบบแรกในโลก ซึ่งสร้างที่เมืองสัญจิ ประเทศอินเดีย โดยพระเจ้าอโศกมหาราช มีลักษณะรูปทรงครึ่งวงกลมคว่ำอยู่บนฐานทรงกลม ด้านบนมีบัลลังก์เป็นรูปสี่เหลี่ยมหมายถึงที่ประทับของกษัตริย์ ตรงกลางปักฉัตรเป็นวงกลมแบน ๆ 3 ชั้น ต่อมาช่างลังกาได้ดัดแปลงรูปทรงครึ่งวงกลมดังกล่าวเป็นทรงระฆังและรูปทรงนี้ได้แพร่หลายไปยังชาติที่นับถือศาสนาพุทธในทวีปเอเชีย สำหรับประเทศไทยศาสนาพุทธได้เดินทางมาโดยเรือสำเภาขึ้นฝั่งที่ภาคใต้ของประเทศไทย และตั้งมั่นที่เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยทวารวดี ได้มีการสร้างพระบรมธาตุขึ้นตามรูปแบบของสถูปแบบลังกา แต่เพิ่มยอดสูงกว่า ส่วนทางพม่าได้มีการสร้างพระธาตุพุกามขึ้นที่เมืองพุกาม มีรูปแบบดัดแปลงจากสถูปแบบลังกา คือ เน้นให้มีฐานสูงขึ้นทำเป็นรูปแปดเหลี่ยมและมีฉัตรที่ปลายยอด


  •  แบบศรีวิชัย

                       สถูปสมัยศรีวิชัยนี้สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากชวาหรืออาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งรวมอาณาเขตชวา สุมาตรา และแหลมมลายูเข้าไปด้วย อาณาจักรศรีวิชัยนี้เดิมได้รับอิทธิพลทางด้านศาสนาพุทธมาจากลังกานั่นเอง ดังนั้นผลงานศิลปกรรมจึงมีอิทธิพลของอินเดียและลังกาปนอยู่มาก สถูปที่สร้างในสมัยนี้คือ พระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีลักษณะเป็นตัวสถูปองค์ใหญ่อยู่กลาง มีสถูปองค์เล็ก ๆ ล้อมรอบเป็นชั้น ๆ ทำฐานสูง บางทีเรียกว่าสถูปทรงมณฑป


  • แบบเชียงแสน หรือล้านนา

                          ในสมัยเชียงแสนหรือล้านนานั้น ได้นำเอาสถูปทรงลังกามาดัดแปลงให้เป็นรูปแบบของตนเองคือ ทำให้มีฐานสูงและทำเป็นรูปแปดเหลี่ยมย่อส่วนเล็กลงเรื่อย ๆ ส่วนองค์ระฆังจะมีทรงกลมเล็กกว่าฐาน มีฉัตรตรงปลายยอด เช่น พระบรมธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ และพระบรมธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูนเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสถูปที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เช่น พระเจดีย์เจ็ดยอด ที่วัดเจ็ดยอด จังหวัดเชียงใหม่ สร้างในสมัยพระเจ้าติโลกราช ตามแบบพุทธคยาในอินเดีย เจดีย์พระนางจามเทวีที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเจดีย์แบบหริภุญไชยหรือก่อนล้านนาที่ได้รับอิทธิพลจากสมัยทวารวดี นอกจากนี้ยังมีเจดีย์แบบที่เรียกว่าทรงปราสาท เช่น วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ วัดเชียงมั่น เชียงใหม่ เป็นต้น


  • แบบโคตรบูรณ์

                           เป็นรูปแบบของสถูปที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งนิยมสร้างในเขตประเทศลาว บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่ง มีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีซุ้มโดยรอบและด้านบนตัวองค์ระฆังเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีลักษณะป่องตรงกลางเป็นกระเปาะและเรียวไปหาปลายยอดคล้ายรูปดอกบัวตูมมีฉัตรที่ปลายยอด บางทีเรียกว่าแบบดอกบัวเหลี่ยม เช่น พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นต้น


  • แบบสุโขทัย

                             ในสมัยสุโขทัยมีสถูปอยู่หลายแบบ เนื่องจากได้รับอิทธิพลของศิลปะจากแบบลังกาและขอม รวมทั้งได้ดัดแปลงของแบบตนเองขึ้นอีก จึงมีสถูปถึง 3 แบบคือ
- แบบลพบุรี เป็นสถูปที่ทำเป็นพระปรางค์แบบขอมได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบลพบุรี แต่ดัดแปลงให้มีลักษณะผอมสูงกว่าและมีซุ้มที่ทำให้ติดกับองค์ปรางค์ไม่ยื่นออกมา เช่น วัดศรีสวาย
- แบบสุโขทัย เป็นสถูปทรงสูงมีฐานสี่เหลี่ยม 3 ชั้นย่อมุมและตอนบนสุดทำเป็นทรงพุ่มคล้ายดอกบัวตูมหรือพุ่มข้าวบิณฑ์ บางที่เรียกว่าทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เช่น วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดมหาธาตุสุโขทัย และสถูปวัดพระธาตุ จังหวัดกำแพงเพชรเป็นต้น


  •  แบบลพบุรี

                         เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นโดยชนชาติขอม ซึ่งแต่เดิมนับถือศาสนาพราหมณ์และนิยมสร้างพระปรางค์ขึ้นโดยให้มีฐานสูงและ มีองค์พระปรางค์อยู่ชั้นบนมีซุ้มประตูทางเข้าทั้ง 4 ทิศ และตรงกลางภายในปรางค์เป็นห้องโถงเพื่อประดิษฐานเทวรูป ต่อมามีกษัตริย์ขอมบางพระองค์เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธก็มีการสร้างพระ ปรางค์ให้มีฐานต่ำลงมาเพื่อใช้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปแทนและรูปแบบการ สร้างพระปรางค์ได้แพร่หลายไปสู่อาณาจักรอื่น ๆ เช่น สุโขทัย อู่ทองและอยุธยา ที่นิยมเรียกกันว่า ปราสาทหิน เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินเขาพระวิหาร


  •  แบบอยุธยา

                          อันที่จริงแล้วการสร้างงานศิลปกรรมของสมัยอยุธยานั้นเริ่มต้นจากสมัยอู่ทองก่อนที่จะกลายเป็นสมัยอยุธยา ในสมัยเริ่มต้นสถูปโดยมากนิยมสร้างแบบพระปรางค์ตามอิทธิพลศิลปะแบบลพบุรีแต่ดัดแปลงให้มีองค์ปรางค์สูงขึ้นมีย่อมุมมากขึ้น เช่นพระปรางค์วัดราชบูรณะ มักสร้างเป็นปรางค์ห้ายอด คือมีองค์ใหญ่อยู่กลาง 1 องค์ องค์เล็กล้อมรอบ 4 องค์ ต่อมารูปแบบการสร้างสถูปแบบลังกาได้แพร่หลายมาจากสุโขทัยและมีการดัดแปลงเพียงแต่เพิ่มมุขเข้าประดับองค์เจดีย์ เช่นพระเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ จนกระทั่งได้พัฒนาให้มีรูปแบบเป็นทรงสี่เหลี่ยมและมีการย่อมุมของฐานจนเรียกว่าแบบย่อมุมไม้สิบสอง เช่นเจดีย์ศรีสุริโยทัย ซึ่งถือเป็นแบบของอยุธยาโดยเฉพาะ


  • แบบรัตนโกสินทร์

                          เมื่อเริ่มมีการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ นั้นได้มีการนำเอาช่างมาจากกรุงศรีอยุธยาแทบทั้งสิ้นจึงทำให้รูปแบบการก่อสร้างจำลองมาจากอยุธยาเป็นส่วนมากมีการดัดแปลงเพียงเล็กน้อย เช่นการก่อสร้างสถูปแบบพระปรางค์ทำให้สูงชะลูดขึ้นไปอีกเน้นลวดลายที่ฐาน และนำเอากระเบื้องเซรามิคส์มาประดับองค์เจดีย์ เช่นพระปรางค์วัดอรุณ การก่อสร้างสถูปทรงลังกาในแบบอยุธยา และยังมีการสร้างเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง รวมทั้งมีการนำเอาพระปรางค์มาประดับยอดปราสาทและมีการสร้างมณฑปบนสถานที่สำคัญ เช่น รอยพระพุทธบาท เป็นต้น

งานประติมากรรมไทย (Thai Sculpture)



                        งานประติมากรรมไทยเป็นงานที่เกี่ยวข้องหรือรับใช้ศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติมาแต่ดั้งเดิม จึงมักมีงานอยู่ 2 แบบคือ งานประติมากรรมเกี่ยวกับพระพุทธรูป โดยทั่วไปมักเรียกงานว่าปฏิมากรรม (ซึ่งเป็นงานที่เด่นที่สุด) และงานประติมากรรมตกแต่งอาคารสถานที่ เหตุที่นำเอาพระพุทธรูปมาเป็นหลักในการศึกษาประติมากรรมไทยเพราะเหตุว่า

1. มีความงดงามถึงขั้นสูงสุด (Classic) ตามแบบอุดมคติ
2. มองเห็นความแตกต่างของฝีมือแต่ละสกุลช่างได้ชัดเจน
3. มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด





 สมัยทวารวดี 
        พระพุทธรูปสมัยนี้มีลักษณะที่สำคัญคือ พระเกตุมาลาเป็นต่อมสั้น พระศกเป็นก้นหอยไม่มีไรพระศก พระขนงยาวเหยียด พระพักตร์แบนกว้าง พระโอษฐ์หนา พระหนุป้าน จีวรบางแนบติดกับองค์พระ มีพระหัตถ์และพระบาทใหญ่

 สมัยศรีวิชัย 
          มีลักษณะที่สำคัญคือ พระพุทธรูปสมัยนี้มีน้อยแต่มีรูปจำลองของพระโพธิ์สัตว์เป็นจำนวนมาก เพราะศาสนาพุทธนิกายมหายานนับถือพระโพธิสัตว์

 สมัยลพบุรี 
          เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากชนชาติขอมมีลักษณะของพระเกตุมาลาเป็นต่อมเหมือนสมัยทวารวดีหรืออาจเป็นรูปก้นหอย เป็นรูปคล้ายฝาชีครอบเป็นกระบังคล้ายมงกุฎเทวรูป หรือเป็นรูปดอกบัวมีกลีบรอบ ๆ บ้าง แต่จะมีไรพระศกเสมอ และทำเป็นเส้นใหญ่กว่าสมัยศรีวิชัย พระพักตร์กว้างเป็นเหลี่ยม พระโอษฐ์แบะ พระหนุป้าน ชายสังฆาฎิยาว พระกรรณยาวจนจดพระอังสา พระขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา

 สมัยเชียงแสน
           ถือว่าเป็นการสร้างพระพุทธรูปแบบไทยแท้เป็นสมัยแรก แบ่งออก 2 รุ่นคือ
แบบเชียงแสนรุ่นแรกพระพุทธรูปสมัยนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงามทัดเทียมกับพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย (ซึ่งเป็นสมัยที่ยกย่องว่าสร้างพระพุทธรูปได้สวยงามที่สุด) บางทีเรียกว่าพระสิหิงค์หรือพระสิงห์ พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนรุ่นแรกมีลักษณะดังนี้คือนิยมสร้างให้มีพระวรกายอวบอ้วน ,ประทับนั่งแบบขัดสมาธิเพชร,พระหัตถ์มีลักษณะแบบกลมกลึง, พระพักตร์อูมอิ่ม พระหนุเป็นปม
พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เล็ก, พระอุระนูน, สังฆาฏิสั้นเหนือพระอุระ,พระรัศมีเป็นต่อมกลม เม็ดพระศกเป็นต่อมกลมใหญ่หรือเป็นก้นหอยไม่มีไรพระศก

สมัยสุโขทัย 
           ถือว่าเป็นสมัยที่การสร้างพระพุทธรูปได้เจริญถึงขั้นสูงสุด (Classic) ได้มีการแบ่งลักษณะพระพุทธรูปออกเป็น 5 แบบ หรือ 5 หมวด ที่สำคัญคือ
- หมวดใหญ่  มีลักษณะพระพักตร์รูปทรงกลมหรือบางทีก็สร้างคล้ายรูปไข่ พระนลาฏกว้างสมส่วนกับพระปรางค์ พระเกตุมาลาหรือพระรัศมีทำเป็นเปลวสูง พระอังศากว้างดูผึ่งผาย พระอุระนูนเล็กน้อย นิยมนั่งขัดสมาธิราบ
-หมวดพระพุทธชินราช ซึ่งได้สร้างขึ้นในขณะที่ศาสนาพุทธในกรุงสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด และนับว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างได้สวยงามที่สุดของสมัยสุโขทัย ตัวอย่างเช่น พระพุทธชินราช ที่วัดใหญ่หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก มีลักษณะพระพักตร์และนลาฏกว้าง รับกับส่วนพระปรางค์ซึ่งดูอิ่มเอิบ ลักษณะยิ้มละไม

สมัยอยุธยา 
     แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ
  - แบบอยุธยารุ่นแรก หรือแบบอู่ทอง ได้รับอิทธิพลจากสมัยสุโขทัยและยังรับเอาอิทธิพลศิลปะแบบลพบุรีขอมเข้าไปด้วย พระพุทธรูปมีลักษณะพระโอษฐ์หนาและพระขนงขมวดดูเคร่งขรึม พระหนุป้าน พระเกตุมาลาหรือพระรัศมีมีทั้งเป็นต่อมกลมแบบลพบุรีและเป็นเปลวแบบสุโขทัย เส้นพระศกละเอียดมีไรพระศก
ชายสังฆาฏิยา ขัดสมาธิราบ ฐานเป็นหน้ากระดานแอ่นเป็นร่องเว้าเข้าด้านใน
- แบบอยุธยารุ่นหลัง  เนื่องจากมีสงครามติดพันกับพม่ายาวนาน ความประณีตในการสร้างงานศิลปะเกี่ยวกับรูปคนเสื่อมลงลักษณะของพระพุทธรูปจึง เสื่อมลงด้วยแต่การตกแต่งดีขึ้นมากจึงเกิดมีพระทรงเครื่องขึ้นในสมัยนี้ คือมีการตกแต่งพระพุทธรูปยืนด้วยการสวมมงกุฎ และตกแต่งองค์พระด้วยเครื่องแต่งกายคล้ายละครหรือเครื่องทรงกษัตริย์ มีสองแบบคือพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่และพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย ส่วนลักษณะของพระพุทธรูปทั่วไปมักทำพระเกตุมาลาหรือพระรัศมีตามแบบสุโขทัย แต่โดยมากมีไรพระศก และสังฆาฏิใหญ่

 สมัยรัตนโกสินทร์ 
            ในยุคแรกเช่นในสมัยรัชกาลที่ 1 นำพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือ มาประดิษฐานในกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการคิดปางพระพุทธรูปเพิ่มขึ้น สมัยรัชกาลที่ 4 สร้างพระพุทธรูปคล้ายคนจริงมากขึ้นเพราะรับอิทธิพลจากตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 9 พ.ศ.2500 มีการสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นประธานพุทธมณฑลที่นครปฐม ผู้ออกแบบคือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
งานสถาปัตยกรรมไทย (Architecture)
            
           ลักษณะงานสถาปัตยกรรมของไทยนั้น สามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของการก่อสร้าง วัสดุที่ใช้ในการออกแบบ การตกแต่งรวมทั้งลักษณะการใช้งาน ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
- สถาปัตยกรรมเกี่ยวกับศาสนา
- สถาปัตยกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
              
             สถาปัตยกรรมเกี่ยวกับศาสนา เนื่องจากศาสนาพุทธได้รับการยอมรับให้เป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่เดิม ดังนั้นการก่อสร้างให้เป็นสถานที่สำหรับชุมนุมเพื่อประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา พร้อมทั้งเป็นสถานที่สำหรับกราบไหว้บูชาของพุทธศาสนิกชนไปด้วย สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเด่นและมีรูปแบบที่ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบันคือ สถูปและเจดีย์ซึ่งมีหลักฐานทางศิลปะโบราณวัตถุสถานให้ศึกษาอยู่เกือบทุกสมัยตั้งแต่เริ่มสร้างมา


ที่มา :  http://www.ipesk.ac.th/ipesk/home/VISUAL%20ART/lesson502.html

ศิลปินได้สร้างผลงานที่มีความแตกต่างกันถึง 5 ประเภท


  


  • ประเภทที่เกี่ยวกับเรื่องเทวดา เรื่องเทพนิยายลึกลับ และเรื่องของบุคคลในราชวงศ์
  • ประเภทที่เกี่ยวกับการใช้ตัวละครของรามเกียรติ์
  • ประเภทที่เกี่ยวกับการฟ้อนรำ การเกี้ยวพาราศี และบุคคลชั้นสูง ซึ่งมีความแตกต่างกันตามยศ        ศักดิ์
  • ประเภทที่เกี่ยวกับคนธรรมดาสามัญ แสดงชีวิตความเป็นอยู่ มีการแทรกเรื่องราวประเภทตลกขบขัน ซึ่งเป็นลักษณะที่ร่าเริงของคนไทย
  • ประเภทที่เกี่ยวกับฉากนรกมักแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ธรรมดาแต่เป็นเรื่อง ราวที่เกี่ยวกับการลงโทษมนุษย์อย่างรุนแรงที่สุดตามแต่จะจินตนาการขึ้นมาได้ ตัวอย่างภาพเหล่านี้ปรากฏอยู่ตามวัดสำคัญ ๆ คือ ภาพผนังของพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ภาพผนังวัดดุสิตตาราม ภาพผนังที่วัดสุทัศน์ ภาพผนังที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภาพผนังวัดเชตุพนวิมลมังคลารามแลวัดสุวรรณาราม เป็นต้น










               ผลงานจิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากจะมีอยู่ในกรุงเทพมหานครดังกล่าวแล้ว ยังมีภาพผนังตามวัดต่าง ๆ ในจังหวัดอื่น ๆ อีกเช่น ที่วัดสุวรรณดารารามจังหวัดอยุธยา วัดใหญ่อินทารามจังหวัดชลบุรี วัดราชบูรณะจังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งการเขียนภาพผนังของวัดทางภาคเหนือที่จัดทำขึ้นมาในช่วงเวลานี้อีก ด้วย เช่นที่วัดพระสิงห์จังหวัดเชียงใหม่ วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน เป็นต้น

วิวัฒนาการของจิตรกรรมไทย


         

             จากหลักฐานของงานจิตรกรรมไทยนั้นปรากฏว่าเริ่มต้นตั้งแต่สมัยสุโขทัยและมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน


สมัยสุโขทัย 
            มีภาพที่แกะสลักหินเป็นลายเส้น ซึ่งเรียกว่าภาพแกะลายเบาอยู่ที่ช่องกำแพงวัดศรีชุม จ.สุโขทัย จิตรกรรมแบบระบายสีในสมัยสุโขทัยก็คือภาพผนังที่วัดเจดีย์เจ็ดแถวอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ลักษณะของภาพเป็นการเขียนโดยใช้สีแดง สีขาวและสีดำ เข้าใจว่าสีอื่น ๆ เช่น สีเขียวยังไม่มีใช้


 สมัยอยุธยา

            มีงานจิตรกรรมที่สำคัญ ๆ ดังนี้
  • จิตรกรรมสีปูนเปียก (Fresco) ที่ปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  • ภาพผนังในเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  • ภาพผนังในพระปรางค์วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี
  • ภาพผนังโบสถ์วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี

นอกจากนั้นยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่อื่น ๆ อีกเช่น ที่วัดพุทธไธสวรรย์ จังหวัดอยุธยา วัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี ภาพในหอเขียนวังสวนผักกาด และเป็นที่น่าสังเกตว่าการเขียนภาพแบบที่มองจากที่สูงหรือแบบนกมอง


สมัยธนบุรี 
           มีภาพไตรภูมิซึ่งแสดงถึงโลกทั้ง 3 คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก ปัจจุบันนี้ภาพจิตรกรรมไทยในสมุดไตรภูมิของสมัยธนบุรีถูกเก็บรักษาไว้ในพระที่นั่งศิวโมกข์วิมานพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ


สมัยรัตนโกสินทร์ 
           เนื่องจากได้มีการสร้างวัดขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงต้องระดมเอาศิลปินมาจากอยุธยาเพื่อช่วยกันเขียนภาพฝาผนังในวัดต่าง ๆ เหล่านั้น รูปแบบการเขียนภาพของศิลปินในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีอิทธิพลต่อการเขียนภาพในสมัยต่อมาอย่างยิ่ง อาจจะเรียกว่าเป็นสมัยสูงสุด (Classic) ของกิจกรรมไทยก็ได้ ดังตัวอย่างจากผลงานของพระที่นั่งพุทธไธศวรรย์ หรือที่วัดสุทัศน์และวัดสุวรรณารามเป็นต้น


สมัยปัจจุบัน 
          โดยมากมักจะถือเอาสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เป็นจุดเริ่มต้น ผลงานศิลปะต่าง ๆ ในสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันตกมาเป็นส่วนมาก รวมทั้งงานด้านจิตรกรรมด้วยทำให้มีการประยุกต์วิธีการเขียนภาพและวัสดุต่าง ๆ มาเป็นวัสดุสมัยใหม่ตามแบบตะวันตก เช่นใช้สีอะครีลิคหรือสีน้ำมันแทนสีฝุ่น หรือแม้กระทั่งใช้เทคนิคการพิมพ์ภาพแทนการเขียนภาพ ส่วนรูปแบบในการเขียนก็มีการนำเอาจินตนาการแปลกใหม่มาผสมกับรูปแบบจิตรกรรมประเพณีแบบดั้งเดิม ทำให้ภาพเขียนที่เป็นแบบสมัยใหม่และนำไปตกแต่งอาคารบ้านเรือนได้แทนที่จะปรากฎอยู่แต่บนผนังโบสถ์ วิหาร เช่นแต่ก่อน แนวโน้มของจิตรกรรมไทยคงจะมีการเขียนด้วยรูปแบบที่เหมาะสมกับยุคสมัยไปเรื่อย ๆ และแพร่หลายไปสู่สาธารณะมากขึ้นกว่าสมัยที่ผ่านมา


ที่มา : http://www.thaksinawat.com/suwat/thaipainting.htm