https://www.youtube.com/watch?v=KJ-THgWXLZY
ทัศนศิลป์วัฒนธรรมของไทยและสากล
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559
บทนำ
คำนำ
บล็อกเกอร์เรื่องนี้ เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชาคอมพิวเตอร์และวิชาศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้รู้ความหมายของทัศนศิลป์ของไทยและสากล ความแตกต่างกัน ลักษณะต่างๆของไทยและสากล อีกทั้งรู้ประวัติความเป็นมา ซึ่งเราสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำงาน เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ รวมถึงเป็นเรื่องที่บางกลุ่มชนไม่รู้ ถึงประวัติความเป็นมา และความหมายต่างๆ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบล็อกเกอร์เรื่องนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน
ผู้จัดทำ
นางสาว ชลธิชา สังข์ทอง
ทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทยและสากล
ทัศนศิลป์ของไทยและสากล
ผลงานทัศนศิลป์ล้วนมีปรากฎอยู่ในแต่ละวัฒนธรรม ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ขึ้นมาก็ล้วนแต่ต้องการตอบสนองความต้องการของสังคมทั้งสิ้น สำหรับสังคมไทย ผลงานทางด้านทัศนศิลป์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์งานมีอยู่หลายปัจจัย เช่นเดียวกับทัศนศิลป์สากลก็จะมีรูปแบบแตกต่างไปจากของไทย และมีจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ที่มีบางด้านมีทั้งเหมือนและแตกต่างจากทัศนศิลป์ไทย การเรียนรู้ทำความเข้าใจทัศนศิลป์ไทยและสากล จะช่วยทำให้เราสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ทัศนศิลป์ระหว่างสองวัฒนธรรมได้
ที่มา : http://www.namsongkram.com/2015/01/blog-post_13.html
การแบ่งสถูปเจดีย์ตามลักษณะของสถาปัตยกรรม
- แบบลังกา
เป็นสถูปที่นำแบบมาจากสถูปแบบแรกในโลก ซึ่งสร้างที่เมืองสัญจิ ประเทศอินเดีย โดยพระเจ้าอโศกมหาราช มีลักษณะรูปทรงครึ่งวงกลมคว่ำอยู่บนฐานทรงกลม ด้านบนมีบัลลังก์เป็นรูปสี่เหลี่ยมหมายถึงที่ประทับของกษัตริย์ ตรงกลางปักฉัตรเป็นวงกลมแบน ๆ 3 ชั้น ต่อมาช่างลังกาได้ดัดแปลงรูปทรงครึ่งวงกลมดังกล่าวเป็นทรงระฆังและรูปทรงนี้ได้แพร่หลายไปยังชาติที่นับถือศาสนาพุทธในทวีปเอเชีย สำหรับประเทศไทยศาสนาพุทธได้เดินทางมาโดยเรือสำเภาขึ้นฝั่งที่ภาคใต้ของประเทศไทย และตั้งมั่นที่เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยทวารวดี ได้มีการสร้างพระบรมธาตุขึ้นตามรูปแบบของสถูปแบบลังกา แต่เพิ่มยอดสูงกว่า ส่วนทางพม่าได้มีการสร้างพระธาตุพุกามขึ้นที่เมืองพุกาม มีรูปแบบดัดแปลงจากสถูปแบบลังกา คือ เน้นให้มีฐานสูงขึ้นทำเป็นรูปแปดเหลี่ยมและมีฉัตรที่ปลายยอด
- แบบศรีวิชัย
สถูปสมัยศรีวิชัยนี้สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากชวาหรืออาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งรวมอาณาเขตชวา สุมาตรา และแหลมมลายูเข้าไปด้วย อาณาจักรศรีวิชัยนี้เดิมได้รับอิทธิพลทางด้านศาสนาพุทธมาจากลังกานั่นเอง ดังนั้นผลงานศิลปกรรมจึงมีอิทธิพลของอินเดียและลังกาปนอยู่มาก สถูปที่สร้างในสมัยนี้คือ พระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีลักษณะเป็นตัวสถูปองค์ใหญ่อยู่กลาง มีสถูปองค์เล็ก ๆ ล้อมรอบเป็นชั้น ๆ ทำฐานสูง บางทีเรียกว่าสถูปทรงมณฑป
- แบบเชียงแสน หรือล้านนา
ในสมัยเชียงแสนหรือล้านนานั้น ได้นำเอาสถูปทรงลังกามาดัดแปลงให้เป็นรูปแบบของตนเองคือ ทำให้มีฐานสูงและทำเป็นรูปแปดเหลี่ยมย่อส่วนเล็กลงเรื่อย ๆ ส่วนองค์ระฆังจะมีทรงกลมเล็กกว่าฐาน มีฉัตรตรงปลายยอด เช่น พระบรมธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ และพระบรมธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูนเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสถูปที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เช่น พระเจดีย์เจ็ดยอด ที่วัดเจ็ดยอด จังหวัดเชียงใหม่ สร้างในสมัยพระเจ้าติโลกราช ตามแบบพุทธคยาในอินเดีย เจดีย์พระนางจามเทวีที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเจดีย์แบบหริภุญไชยหรือก่อนล้านนาที่ได้รับอิทธิพลจากสมัยทวารวดี นอกจากนี้ยังมีเจดีย์แบบที่เรียกว่าทรงปราสาท เช่น วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ วัดเชียงมั่น เชียงใหม่ เป็นต้น
- แบบโคตรบูรณ์
เป็นรูปแบบของสถูปที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งนิยมสร้างในเขตประเทศลาว บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่ง มีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีซุ้มโดยรอบและด้านบนตัวองค์ระฆังเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีลักษณะป่องตรงกลางเป็นกระเปาะและเรียวไปหาปลายยอดคล้ายรูปดอกบัวตูมมีฉัตรที่ปลายยอด บางทีเรียกว่าแบบดอกบัวเหลี่ยม เช่น พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นต้น
- แบบสุโขทัย
ในสมัยสุโขทัยมีสถูปอยู่หลายแบบ เนื่องจากได้รับอิทธิพลของศิลปะจากแบบลังกาและขอม รวมทั้งได้ดัดแปลงของแบบตนเองขึ้นอีก จึงมีสถูปถึง 3 แบบคือ
- แบบลพบุรี เป็นสถูปที่ทำเป็นพระปรางค์แบบขอมได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบลพบุรี แต่ดัดแปลงให้มีลักษณะผอมสูงกว่าและมีซุ้มที่ทำให้ติดกับองค์ปรางค์ไม่ยื่นออกมา เช่น วัดศรีสวาย
- แบบสุโขทัย เป็นสถูปทรงสูงมีฐานสี่เหลี่ยม 3 ชั้นย่อมุมและตอนบนสุดทำเป็นทรงพุ่มคล้ายดอกบัวตูมหรือพุ่มข้าวบิณฑ์ บางที่เรียกว่าทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เช่น วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดมหาธาตุสุโขทัย และสถูปวัดพระธาตุ จังหวัดกำแพงเพชรเป็นต้น
- แบบลพบุรี
เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นโดยชนชาติขอม ซึ่งแต่เดิมนับถือศาสนาพราหมณ์และนิยมสร้างพระปรางค์ขึ้นโดยให้มีฐานสูงและ มีองค์พระปรางค์อยู่ชั้นบนมีซุ้มประตูทางเข้าทั้ง 4 ทิศ และตรงกลางภายในปรางค์เป็นห้องโถงเพื่อประดิษฐานเทวรูป ต่อมามีกษัตริย์ขอมบางพระองค์เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธก็มีการสร้างพระ ปรางค์ให้มีฐานต่ำลงมาเพื่อใช้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปแทนและรูปแบบการ สร้างพระปรางค์ได้แพร่หลายไปสู่อาณาจักรอื่น ๆ เช่น สุโขทัย อู่ทองและอยุธยา ที่นิยมเรียกกันว่า ปราสาทหิน เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินเขาพระวิหาร
- แบบอยุธยา
อันที่จริงแล้วการสร้างงานศิลปกรรมของสมัยอยุธยานั้นเริ่มต้นจากสมัยอู่ทองก่อนที่จะกลายเป็นสมัยอยุธยา ในสมัยเริ่มต้นสถูปโดยมากนิยมสร้างแบบพระปรางค์ตามอิทธิพลศิลปะแบบลพบุรีแต่ดัดแปลงให้มีองค์ปรางค์สูงขึ้นมีย่อมุมมากขึ้น เช่นพระปรางค์วัดราชบูรณะ มักสร้างเป็นปรางค์ห้ายอด คือมีองค์ใหญ่อยู่กลาง 1 องค์ องค์เล็กล้อมรอบ 4 องค์ ต่อมารูปแบบการสร้างสถูปแบบลังกาได้แพร่หลายมาจากสุโขทัยและมีการดัดแปลงเพียงแต่เพิ่มมุขเข้าประดับองค์เจดีย์ เช่นพระเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ จนกระทั่งได้พัฒนาให้มีรูปแบบเป็นทรงสี่เหลี่ยมและมีการย่อมุมของฐานจนเรียกว่าแบบย่อมุมไม้สิบสอง เช่นเจดีย์ศรีสุริโยทัย ซึ่งถือเป็นแบบของอยุธยาโดยเฉพาะ
- แบบรัตนโกสินทร์
เมื่อเริ่มมีการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ นั้นได้มีการนำเอาช่างมาจากกรุงศรีอยุธยาแทบทั้งสิ้นจึงทำให้รูปแบบการก่อสร้างจำลองมาจากอยุธยาเป็นส่วนมากมีการดัดแปลงเพียงเล็กน้อย เช่นการก่อสร้างสถูปแบบพระปรางค์ทำให้สูงชะลูดขึ้นไปอีกเน้นลวดลายที่ฐาน และนำเอากระเบื้องเซรามิคส์มาประดับองค์เจดีย์ เช่นพระปรางค์วัดอรุณ การก่อสร้างสถูปทรงลังกาในแบบอยุธยา และยังมีการสร้างเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง รวมทั้งมีการนำเอาพระปรางค์มาประดับยอดปราสาทและมีการสร้างมณฑปบนสถานที่สำคัญ เช่น รอยพระพุทธบาท เป็นต้น
งานประติมากรรมไทย (Thai Sculpture)
งานประติมากรรมไทยเป็นงานที่เกี่ยวข้องหรือรับใช้ศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติมาแต่ดั้งเดิม จึงมักมีงานอยู่ 2 แบบคือ งานประติมากรรมเกี่ยวกับพระพุทธรูป โดยทั่วไปมักเรียกงานว่าปฏิมากรรม (ซึ่งเป็นงานที่เด่นที่สุด) และงานประติมากรรมตกแต่งอาคารสถานที่ เหตุที่นำเอาพระพุทธรูปมาเป็นหลักในการศึกษาประติมากรรมไทยเพราะเหตุว่า
1. มีความงดงามถึงขั้นสูงสุด (Classic) ตามแบบอุดมคติ
2. มองเห็นความแตกต่างของฝีมือแต่ละสกุลช่างได้ชัดเจน
3. มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
สมัยทวารวดี
พระพุทธรูปสมัยนี้มีลักษณะที่สำคัญคือ พระเกตุมาลาเป็นต่อมสั้น
พระศกเป็นก้นหอยไม่มีไรพระศก พระขนงยาวเหยียด พระพักตร์แบนกว้าง พระโอษฐ์หนา
พระหนุป้าน จีวรบางแนบติดกับองค์พระ มีพระหัตถ์และพระบาทใหญ่
สมัยศรีวิชัย
มีลักษณะที่สำคัญคือ พระพุทธรูปสมัยนี้มีน้อยแต่มีรูปจำลองของพระโพธิ์สัตว์เป็นจำนวนมาก
เพราะศาสนาพุทธนิกายมหายานนับถือพระโพธิสัตว์
สมัยลพบุรี
เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากชนชาติขอมมีลักษณะของพระเกตุมาลาเป็นต่อมเหมือนสมัยทวารวดีหรืออาจเป็นรูปก้นหอย
เป็นรูปคล้ายฝาชีครอบเป็นกระบังคล้ายมงกุฎเทวรูป หรือเป็นรูปดอกบัวมีกลีบรอบ ๆ
บ้าง แต่จะมีไรพระศกเสมอ และทำเป็นเส้นใหญ่กว่าสมัยศรีวิชัย
พระพักตร์กว้างเป็นเหลี่ยม พระโอษฐ์แบะ พระหนุป้าน ชายสังฆาฎิยาว
พระกรรณยาวจนจดพระอังสา พระขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา
สมัยเชียงแสน
ถือว่าเป็นการสร้างพระพุทธรูปแบบไทยแท้เป็นสมัยแรก
แบ่งออก 2 รุ่นคือ
แบบเชียงแสนรุ่นแรกพระพุทธรูปสมัยนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงามทัดเทียมกับพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
(ซึ่งเป็นสมัยที่ยกย่องว่าสร้างพระพุทธรูปได้สวยงามที่สุด)
บางทีเรียกว่าพระสิหิงค์หรือพระสิงห์
พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนรุ่นแรกมีลักษณะดังนี้คือนิยมสร้างให้มีพระวรกายอวบอ้วน ,ประทับนั่งแบบขัดสมาธิเพชร,พระหัตถ์มีลักษณะแบบกลมกลึง, พระพักตร์อูมอิ่ม พระหนุเป็นปม
พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เล็ก, พระอุระนูน, สังฆาฏิสั้นเหนือพระอุระ,พระรัศมีเป็นต่อมกลม
เม็ดพระศกเป็นต่อมกลมใหญ่หรือเป็นก้นหอยไม่มีไรพระศก
สมัยสุโขทัย
ถือว่าเป็นสมัยที่การสร้างพระพุทธรูปได้เจริญถึงขั้นสูงสุด
(Classic)
ได้มีการแบ่งลักษณะพระพุทธรูปออกเป็น
5 แบบ หรือ 5 หมวด ที่สำคัญคือ
- หมวดใหญ่ มีลักษณะพระพักตร์รูปทรงกลมหรือบางทีก็สร้างคล้ายรูปไข่
พระนลาฏกว้างสมส่วนกับพระปรางค์ พระเกตุมาลาหรือพระรัศมีทำเป็นเปลวสูง
พระอังศากว้างดูผึ่งผาย พระอุระนูนเล็กน้อย นิยมนั่งขัดสมาธิราบ
-หมวดพระพุทธชินราช
ซึ่งได้สร้างขึ้นในขณะที่ศาสนาพุทธในกรุงสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด
และนับว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างได้สวยงามที่สุดของสมัยสุโขทัย ตัวอย่างเช่น
พระพุทธชินราช ที่วัดใหญ่หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก
มีลักษณะพระพักตร์และนลาฏกว้าง รับกับส่วนพระปรางค์ซึ่งดูอิ่มเอิบ ลักษณะยิ้มละไม
สมัยอยุธยา
แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ
- แบบอยุธยารุ่นแรก
หรือแบบอู่ทอง
ได้รับอิทธิพลจากสมัยสุโขทัยและยังรับเอาอิทธิพลศิลปะแบบลพบุรีขอมเข้าไปด้วย
พระพุทธรูปมีลักษณะพระโอษฐ์หนาและพระขนงขมวดดูเคร่งขรึม พระหนุป้าน
พระเกตุมาลาหรือพระรัศมีมีทั้งเป็นต่อมกลมแบบลพบุรีและเป็นเปลวแบบสุโขทัย
เส้นพระศกละเอียดมีไรพระศก
ชายสังฆาฏิยา ขัดสมาธิราบ
ฐานเป็นหน้ากระดานแอ่นเป็นร่องเว้าเข้าด้านใน
- แบบอยุธยารุ่นหลัง เนื่องจากมีสงครามติดพันกับพม่ายาวนาน
ความประณีตในการสร้างงานศิลปะเกี่ยวกับรูปคนเสื่อมลงลักษณะของพระพุทธรูปจึง
เสื่อมลงด้วยแต่การตกแต่งดีขึ้นมากจึงเกิดมีพระทรงเครื่องขึ้นในสมัยนี้
คือมีการตกแต่งพระพุทธรูปยืนด้วยการสวมมงกุฎ
และตกแต่งองค์พระด้วยเครื่องแต่งกายคล้ายละครหรือเครื่องทรงกษัตริย์
มีสองแบบคือพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่และพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย
ส่วนลักษณะของพระพุทธรูปทั่วไปมักทำพระเกตุมาลาหรือพระรัศมีตามแบบสุโขทัย แต่โดยมากมีไรพระศก
และสังฆาฏิใหญ่
สมัยรัตนโกสินทร์
ในยุคแรกเช่นในสมัยรัชกาลที่ 1
นำพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือ มาประดิษฐานในกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 3
มีการคิดปางพระพุทธรูปเพิ่มขึ้น สมัยรัชกาลที่ 4
สร้างพระพุทธรูปคล้ายคนจริงมากขึ้นเพราะรับอิทธิพลจากตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 9
พ.ศ.2500 มีการสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นประธานพุทธมณฑลที่นครปฐม ผู้ออกแบบคือ
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
งานสถาปัตยกรรมไทย (Architecture)
ลักษณะงานสถาปัตยกรรมของไทยนั้น
สามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของการก่อสร้าง วัสดุที่ใช้ในการออกแบบ
การตกแต่งรวมทั้งลักษณะการใช้งาน ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
- สถาปัตยกรรมเกี่ยวกับศาสนา
- สถาปัตยกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
สถาปัตยกรรมเกี่ยวกับศาสนา
เนื่องจากศาสนาพุทธได้รับการยอมรับให้เป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่เดิม
ดังนั้นการก่อสร้างให้เป็นสถานที่สำหรับชุมนุมเพื่อประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา
พร้อมทั้งเป็นสถานที่สำหรับกราบไหว้บูชาของพุทธศาสนิกชนไปด้วย
สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเด่นและมีรูปแบบที่ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบันคือ
สถูปและเจดีย์ซึ่งมีหลักฐานทางศิลปะโบราณวัตถุสถานให้ศึกษาอยู่เกือบทุกสมัยตั้งแต่เริ่มสร้างมา
ที่มา : http://www.ipesk.ac.th/ipesk/home/VISUAL%20ART/lesson502.html
ศิลปินได้สร้างผลงานที่มีความแตกต่างกันถึง 5 ประเภท
- ประเภทที่เกี่ยวกับเรื่องเทวดา เรื่องเทพนิยายลึกลับ และเรื่องของบุคคลในราชวงศ์
- ประเภทที่เกี่ยวกับการใช้ตัวละครของรามเกียรติ์
- ประเภทที่เกี่ยวกับการฟ้อนรำ การเกี้ยวพาราศี และบุคคลชั้นสูง ซึ่งมีความแตกต่างกันตามยศ ศักดิ์
- ประเภทที่เกี่ยวกับคนธรรมดาสามัญ แสดงชีวิตความเป็นอยู่ มีการแทรกเรื่องราวประเภทตลกขบขัน ซึ่งเป็นลักษณะที่ร่าเริงของคนไทย
- ประเภทที่เกี่ยวกับฉากนรกมักแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ธรรมดาแต่เป็นเรื่อง ราวที่เกี่ยวกับการลงโทษมนุษย์อย่างรุนแรงที่สุดตามแต่จะจินตนาการขึ้นมาได้ ตัวอย่างภาพเหล่านี้ปรากฏอยู่ตามวัดสำคัญ ๆ คือ ภาพผนังของพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ภาพผนังวัดดุสิตตาราม ภาพผนังที่วัดสุทัศน์ ภาพผนังที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภาพผนังวัดเชตุพนวิมลมังคลารามแลวัดสุวรรณาราม เป็นต้น
ผลงานจิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากจะมีอยู่ในกรุงเทพมหานครดังกล่าวแล้ว ยังมีภาพผนังตามวัดต่าง ๆ ในจังหวัดอื่น ๆ อีกเช่น ที่วัดสุวรรณดารารามจังหวัดอยุธยา วัดใหญ่อินทารามจังหวัดชลบุรี วัดราชบูรณะจังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งการเขียนภาพผนังของวัดทางภาคเหนือที่จัดทำขึ้นมาในช่วงเวลานี้อีก ด้วย เช่นที่วัดพระสิงห์จังหวัดเชียงใหม่ วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน เป็นต้น
วิวัฒนาการของจิตรกรรมไทย
จากหลักฐานของงานจิตรกรรมไทยนั้นปรากฏว่าเริ่มต้นตั้งแต่สมัยสุโขทัยและมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
สมัยสุโขทัย
มีภาพที่แกะสลักหินเป็นลายเส้น ซึ่งเรียกว่าภาพแกะลายเบาอยู่ที่ช่องกำแพงวัดศรีชุม จ.สุโขทัย จิตรกรรมแบบระบายสีในสมัยสุโขทัยก็คือภาพผนังที่วัดเจดีย์เจ็ดแถวอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ลักษณะของภาพเป็นการเขียนโดยใช้สีแดง สีขาวและสีดำ เข้าใจว่าสีอื่น ๆ เช่น สีเขียวยังไม่มีใช้
สมัยอยุธยา
มีงานจิตรกรรมที่สำคัญ ๆ ดังนี้
- จิตรกรรมสีปูนเปียก (Fresco) ที่ปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- ภาพผนังในเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- ภาพผนังในพระปรางค์วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี
- ภาพผนังโบสถ์วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี
นอกจากนั้นยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่อื่น ๆ อีกเช่น ที่วัดพุทธไธสวรรย์ จังหวัดอยุธยา วัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี ภาพในหอเขียนวังสวนผักกาด และเป็นที่น่าสังเกตว่าการเขียนภาพแบบที่มองจากที่สูงหรือแบบนกมอง
สมัยธนบุรี
มีภาพไตรภูมิซึ่งแสดงถึงโลกทั้ง 3 คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก ปัจจุบันนี้ภาพจิตรกรรมไทยในสมุดไตรภูมิของสมัยธนบุรีถูกเก็บรักษาไว้ในพระที่นั่งศิวโมกข์วิมานพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
สมัยรัตนโกสินทร์
เนื่องจากได้มีการสร้างวัดขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงต้องระดมเอาศิลปินมาจากอยุธยาเพื่อช่วยกันเขียนภาพฝาผนังในวัดต่าง ๆ เหล่านั้น รูปแบบการเขียนภาพของศิลปินในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีอิทธิพลต่อการเขียนภาพในสมัยต่อมาอย่างยิ่ง อาจจะเรียกว่าเป็นสมัยสูงสุด (Classic) ของกิจกรรมไทยก็ได้ ดังตัวอย่างจากผลงานของพระที่นั่งพุทธไธศวรรย์ หรือที่วัดสุทัศน์และวัดสุวรรณารามเป็นต้น
สมัยปัจจุบัน
โดยมากมักจะถือเอาสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เป็นจุดเริ่มต้น ผลงานศิลปะต่าง ๆ ในสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันตกมาเป็นส่วนมาก รวมทั้งงานด้านจิตรกรรมด้วยทำให้มีการประยุกต์วิธีการเขียนภาพและวัสดุต่าง ๆ มาเป็นวัสดุสมัยใหม่ตามแบบตะวันตก เช่นใช้สีอะครีลิคหรือสีน้ำมันแทนสีฝุ่น หรือแม้กระทั่งใช้เทคนิคการพิมพ์ภาพแทนการเขียนภาพ ส่วนรูปแบบในการเขียนก็มีการนำเอาจินตนาการแปลกใหม่มาผสมกับรูปแบบจิตรกรรมประเพณีแบบดั้งเดิม ทำให้ภาพเขียนที่เป็นแบบสมัยใหม่และนำไปตกแต่งอาคารบ้านเรือนได้แทนที่จะปรากฎอยู่แต่บนผนังโบสถ์ วิหาร เช่นแต่ก่อน แนวโน้มของจิตรกรรมไทยคงจะมีการเขียนด้วยรูปแบบที่เหมาะสมกับยุคสมัยไปเรื่อย ๆ และแพร่หลายไปสู่สาธารณะมากขึ้นกว่าสมัยที่ผ่านมา
ที่มา : http://www.thaksinawat.com/suwat/thaipainting.htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)